เงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ครั้งเดียว เงินบำนาญเป็นเงินก้อนเล็กได้ประจำเป็นรายเดือน ปัจจุบันผู้ประกันตนยังไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ

บำเหน็จ บำนาญ เลือกอะไรดี แบบไหนดีกว่าในยุคนี้

เงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ครั้งเดียว เงินบำนาญเป็นเงินก้อนเล็กได้ประจำเป็นรายเดือน ปัจจุบันผู้ประกันตนยังไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ ถ้าเรามีอายุยืนยาว การรับบำนาญก็จะได้เงินชราภาพรวมมากกว่าบำเหน็จ ปัญหาสับสนกวนใจชาวประกันสังคมอย่างหนึ่งก็คือ เงินชราภาพ ที่เราจะได้หลังอายุ 55 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเดียวใหญ่ ๆ หรือ ได้เป็นก้อนเล็ก ๆ เป็นรายเดือน วันนี้เราจะชวนคุยเรื่อง บำเหน็จ บำนาญ ของประกันสังคมกัน ว่าใครจะได้เป็นแบบไหน และได้เท่าไหร่

บำเหน็จ บำนาญ ต่างกันยังไง ?

บำเหน็จ คือ เงินชราภาพที่ประกันสังคมจะจ่ายเป็นเงินก้อนครั้งเดียว บำนาญ คือ เงินชราภาพที่ประกันสังคมจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต หลังอายุ 55 ปี จริง ๆ แล้ว การจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ เราที่เป็นผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ เพราะว่าประกันสังคมใช้เกณฑ์ระยะเวลาการส่งเงินสมทบเป็นตัวตัดสิน คือ
  • ถ้าส่งเงินสมทบ 1 – 179 เดือน จะได้รับเป็นเงินบำเหน็จ
  • ถ้าส่งเงินสมทบ 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินบำนาญ
เป็นเกณฑ์ ณ ตอนนี้
แต่จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 10 พ.ค. 2565 ได้อนุมัติหลักการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 3 ประเด็น หรือที่เรียกว่า 3 ขอ : ขอเลือก, ขอคืน และขอกู้ โดยจะมีข้อขอเลือก “ให้ผู้ประกันตนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพได้” ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการรอการประกาศให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เท่ากับว่า อนาคต พวกเราสามารถเลือกรับได้ว่า จะรับ บำเหน็จ หรือ บำนาญ

เงินบำเหน็จ หรือ บำนาญ เลือกอะไรดี

ถ้าจะให้เรามาบอกเลยว่า อันไหนดีกว่ากัน ก็เป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าแต่ละคนมีเงื่อนไข ความต้องการ ความจำเป็นแตกต่างกัน
ข้อดีของการรับเงินบำเหน็จ คือ ได้เป็นเงินก้อน หาก ณ ตอนนั้นมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนจำนวนมาก การได้เงินก้อนนี้มาใช้ก็อาจจะดีกว่ากู้ แต่อย่าลืมว่า จุดประสงค์ของเงินนี้ คือ เงินที่เราไว้ใช้ยามเกษียณ ไม่มีรายได้ หากเรานำเงินก้อนนี้ไปใช้หมดในคราวเดียว เท่ากับ เราไม่มีเหลือเงินชราภาพจากประกันสังคมที่สะสมมาเลย
ข้อดีของการรับเงินบำนาญ คือ ถ้าเรามีชีวิตอยู่รับเงินนานหลายปี จำนวนเงินที่ได้ทั้งหมด เมื่อรวมทุก ๆ เดือนแล้วอาจจะมีจำนวนมากกว่าการรับเงินบำเหน็จ เพราะประกันสังคมจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต ง่าย ๆ คือ จ่ายให้ทุกเดือนจนกกว่าเราจะเสียชีวิต

เปรียบเทียบจำนวนเงินบำนาญ กับ บำเหน็จ

เพื่อให้เพื่อน ๆ เห็นภาพเดียวกัน เราลองมาคำนวณเงินให้เห็นตัวเลขชัด ๆ กันดีกว่าว่า เงินบำเหน็จ กับเงินบำนาญ แบบไหนได้เงินกี่บาท และดูจะคุ้มค่ากับตัวเองมากกว่ากัน

สมมติถ้า ได้รับเงินเดือน 15,000 บาท ส่งเงินสมทบมาแล้ว 180 เดือนภายใต้ผู้ประกันตนมาตรา 33 อายุ 55 ปีบริบูรณ์

กรณีรับ เงินบำเหน็จชราภาพ = จำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย + นายจ้างจ่ายเงินสมทบให้ + ผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี

เท่ากับว่า (450 บาท x 180 เดือน) + (450 บาท x 180 เดือน) + ผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี = 162,000 บาท ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี

กรณีรับ เงินบำนาญชราภาพ (กรณีจ่าย 180 เดือนพอดี) = 20% ของรายได้เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นสุดความเป็นผู้กระกันตน โดยใช้ฐานรายได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และฐานรายได้ต่ำสุด 1,650 บาท

เท่ากับว่า 20% ของ 15,000 บาท = 3,000 บาท / เดือน ได้รับเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต

ดังนั้น การที่เราจะรับเงินบำนาญจนมียอดรวมเท่ากับยอดเงินบำเหน็จ (ที่ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนประจำปี) พี่ทุยต้องมีชีวิตรับเงินไปอีก 54 เดือน หรือประมาณ 4 ปีครึ่ง แต่หากพี่ทุยมีชีวิตมากกว่านั้นอีก จำนวนเงินรวมของบำนาญก็จะมากกว่าเงินบำเหน็จ
สรุป รับเงินบำนาญจะคุ้มกว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่ต่อไปยาว ๆ แต่อย่าลืมว่าจำนวนเงินของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน รวมถึงถ้าเป็นมาตรา 39 ที่คิดจากรายได้สูงสุด 4,800 บาท การรับเงินบำเหน็จก็อาจจะคุ้มกว่า ก็ต้องคำนวณกันดี ๆ นะ
เราขอเน้นอีกครั้งว่า เราไม่ควรหวังพึ่งเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพจากประกันสังคมเพียงอย่างเดียว เพราะอนาคตเงินเฟ้อก็สูงขึ้น อำนาจของเงินน้อยลงเรื่อย ๆ หากเราไม่วางแผนออมเงินตั้งเเต่ยังทำงานได้อยู่ อาจจะเกษียณแบบทนทุกข์ทรมานก็ได้นะฮะ
เรียบเรียงบทความโดย boarddung.com
Scroll to Top